7 เรื่องของแมวที่ทาสไม่รู้มาก่อน

7 เรื่องของแมวที่ทาสไม่รู้มาก่อน

มารู้จัก 7 เรื่อง ของน้องแมวที่ทาสอาจไม่รู้มาก่อน 

หนวดของน้องแมวสำคัญมาก เพราะใช้สัมผัสสิ่งต่างๆ

การรับรู้สัมผัส : หนวดแมวมีเซลล์ประสาทที่ไวต่อการสัมผัส จึงช่วยให้แมวรับรู้สิ่งที่อยู่ใกล้ๆ แม้ว่าจะมองไม่เห็น เช่น การรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลม รวมถึงสัมผัสสิ่งกีดขวางที่อาจจะทำให้แมวเกิดอันตรายได้

การสำรวจพื้นที่ : แมวใช้หนวดในการสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ โดยการกวาดหนวดไปในทิศทางต่างๆ เพื่อประเมินขนาดและรูปร่างของสิ่งกีดขวาง รวมถึงวัตถุที่อาจจะขัดขวางการเคลื่อนไหว

การรักษาสมดุล : หนวดช่วยในการรักษาสมดุลเมื่อแมวปีนป่ายหรือเคลื่อนไหวในพื้นที่แคบๆ เช่น ขอบหน้าต่างหรือขอบของสิ่งต่างๆ หนวดทำให้แมวสามารถทราบได้ว่าอวัยวะส่วนต่างๆ ของมันยังคงอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลหรือไม่

การสื่อสารและการแสดงอารมณ์ : แมวสามารถใช้หนวดในการแสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น เมื่อหนวดขยายออก แสดงถึงความตื่นเต้นหรือการเตรียมตัวที่จะโจมตี แต่เมื่อหนวดหดเข้าหาตัวก็แสดงถึงความเครียดหรือการสงบลง

ด้วยเหตุนี้ หนวดแมวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้แมวปรับตัวและดำรงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมต่างๆ

ตาของลูกแมวมักจะมีสีฟ้า (หลังจาก 3 เดือน สีตาจะเปลี่ยนตามสายพันธุ์)

ใช่ค่ะ! ตาของลูกแมวจะมีสีฟ้าในช่วงแรกของชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาณธรรมชาติของการพัฒนาในช่วงทารก โดยปกติแล้วลูกแมวจะเกิดมาพร้อมกับตาที่ปิดอยู่ และจะค่อยๆเปิดเมื่อโตขึ้น ซึ่งในช่วงแรกเมื่อเปิดตาแล้ว ตาของลูกแมวมักจะมีสีฟ้าอ่อนๆ เนื่องจากเม็ดสีในดวงตายังไม่พัฒนาเต็มที่ หลังจากประมาณ 3-4 เดือน ตาของลูกแมวจะเริ่มเปลี่ยนสีไปตามสายพันธุ์ และสภาพทางพันธุกรรมของพ่อแม่ บ้างก็อาจจะเป็นสีเขียว, เหลือง, ทอง หรือสีน้ำตาล แต่ล้วนแล้วต้องเคยมีตาสีฟ้ากันมาแล้วทั้งนั้น

น้องแมวมี 3 กรุ๊ปเลือด คือ A,B และ AB

กรุ๊ป A : เป็นกรุ๊ปเลือดที่พบได้มากที่สุดในแมว โดยเฉพาะในแมวที่ไม่ได้มาจากสายพันธุ์เฉพาะ มักจะพบได้ในแมวที่มีพันธุ์ทั่วไป เช่น แมวไทย

กรุ๊ป B : แมวที่มีกรุ๊ปเลือด B มักจะพบในบางพันธุ์ เช่น แมวเปอร์เซีย, แมวบริติช ชอร์ตแฮร์ และแมวบางสายพันธุ์ในประเทศต่างๆ อย่างในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่น

กรุ๊ป AB : เป็นกรุ๊ปเลือดที่หายากที่สุดในแมว พบได้ในแมวบางสายพันธุ์ โดยการผสมระหว่างแมวกรุ๊ป A และ B มักจะทำให้เกิดกรุ๊ป AB

การทราบกรุ๊ปเลือดของแมวถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในการถ่ายเลือด เนื่องจากการถ่ายเลือดที่ไม่ตรงกรุ๊ปเลือดอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ ถ้าแมวมีกรุ๊ปเลือด A และถูกผสมพันธุ์กับแมวกรุ๊ปเลือด B ก็อาจมีความเสี่ยงที่ลูกแมวจะเกิดอาการพิการหรือเสียชีวิตจากการได้รับการถ่ายเลือดไม่ถูกต้องเมื่อเกิดมา การตรวจกรุ๊ปเลือดของแมวจึงสำคัญในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ตรงกรุ๊ปเลือดค่ะ

แมวส้ม ส่วนใหญ่เป็นตัวผู้

หนึ่งในความลับที่หลายคนอาจไม่รู้เกี่ยวกับเจ้าแมวส้มก็คือ แมวส้มส่วนใหญ่เป็นตัวผู้! เพราะแมวส้มตัวผู้ เกิดจากพ่อส้มหรือแม่ส้มแค่ตัวเดียวก็ได้ เช่น พ่อขาว+แม่ส้ม แต่แมวส้มตัวเมีย ต้องเกิดจากพ่อส้มและแม่ส้ม (หรือตัวแม่ที่มีส่วนของสามส้ม) เช่น พ่อส้ม+แม่สามสี หรือ พ่อส้ม+แม่ส้ม ดังนั้นจึงทำให้การเกิดเป็นแมวส้มตัวผู้ง่ายกว่าแมวส้มตัวเมียค่ะ

น้องแมวไม่มีกระดูกไหปลาร้า

"กระดูกไหปลาร้า" เป็นกระดูกที่เชื่อมกันระหว่างกระดูกสะบักกับกระดูกสันหลัง ซึ่งพบเจอได้ในมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป ซึ่งยกเว้นแมวและและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด ที่กระดูกไหปลาร้าจะพัฒนาไม่เต็มที่และหายไป ซึ่งการไม่มีกระดูกไหปลาร้าของแมวช่วยให้การเคลื่อนไหวมีอิสระมากขึ้น ทั้งการเอาตัวรอดและล่าเหยื่อก็ทำออกมาได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพ

น้องแมวสามารถทำเสียงต่างๆ ได้มากถึง 100 เสียง

แมวสามารถทำเสียงได้หลากหลายประเภท มากถึงประมาณ 100 เสียง เพื่อใช้ในการสื่อสาร แสดงอารมณ์ และความต้องการกับแมวตัวอื่นๆ รวมถึงมนุษย์ โดยสามารถจำแนกได้หลักๆ ดังนี้

เหมียว (Meow) – เสียงที่แมวมักใช้สื่อสารกับมนุษย์ หรือเรียกร้องความสนใจ

กรน (Purr) – เสียงที่แมวมักทำเมื่อรู้สึกพึงพอใจหรือผ่อนคลาย

ฮิส (Hiss) – เสียงที่แมวทำเมื่อรู้สึกกลัวหรือมีความเครียด

คำราม (Growl) – เสียงที่แมวทำเมื่อรู้สึกขู่หรือไม่พอใจ

คำรามหนัก (Chatter) – เสียงที่มักได้ยินเมื่อแมวเห็นเหยื่อ (เช่น นก) มักแสดงความสนใจหรือความอยากล่า

เสียงร้อง (Yowl) – เสียงที่มักเกิดขึ้นเมื่อแมวรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตัว

เสียงพึมพำ (Trill) – เสียงที่แมวมักทำเวลาเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ

แมวสามารถปรับใช้เสียงต่างๆ ตามสถานการณ์ เช่น การดึงความสนใจจากเจ้าของ หรือการสื่อสารกับแมวตัวอื่นในพื้นที่นั้นๆ เสียงเหล่านี้ช่วยให้แมวสามารถแสดงออกถึงอารมณ์ ความต้องการ และการสื่อสารกับสภาพแวดล้อมได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น 

เท้าหน้าและหลังของน้องแมวมีจำนวนนิ้วไม่เท่ากัน

แมวมีจำนวน "นิ้ว" ที่แตกต่างกันของเท้าหน้าและเท้าหลัง เท้าหน้าของแมวจะมี 5 นิ้ว นิ้วที่ 5 มีชื่อเรียกว่า “Dewclaw หรือนิ้วพิเศษ” ที่คอยทำหน้าที่ตะปบเหยื่อและปีนต้นไม้เป็นหลัก ส่วนเท้าหลังของแมวจะมีเพียง 4 นิ้ว ถึงแม้จะมีนิ้วที่น้อยกว่า แต่ความสามารถในการเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วเหมือนเดิม

ยังมีเรื่องอื่นๆของน้องแมวที่ทาสอาจจะไม่รู้อีกเยอะมากเลย ไว้คราวหน้าแอดมินจะเอามาฝากใหม่นะคะ ❤️

Related Post